นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ(สสช.) เปิดเผยว่า ได้สำรวจยอดขายของธุรกิจขายปลีกสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค โรงแรมและภัตตาคาร การให้เช่าของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน กิจกรรมนันทนาการ สำนักข่าวและการกีฬา และการให้บริการส่วนบุคคล ในไตรมาสแรกของปี 2553
โดยสำรวจตัวอย่าง 5,292 แห่งจากที่มีอยู่ทั่วประเทศ 1.2 ล้านแห่ง พบว่า ในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 3.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4 ของปี 52 ที่ขายตัวระดับร้อย 3.2 และธุรกิจเกือบทุกประเภทมีมูลค่ารายรับเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังต้องการให้ รัฐบาลสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้กู้ยืม ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ พร้อมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ กำหนดมาตรฐานการควบคุมราคาสินค้าให้เข้มงวดมากขึ้น เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและดูแลรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ส่งเสริมสินค้าโอท็อป และควรสนับสนุนการแสดงพื้นบ้านทุกสาขา เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของภาคธุรกิจต่อไป
นางจีราวรรณ กล่าวว่า จากผลการสำรวจพบว่า ธุรกิจเกือบทุกประเภทมีรายรับเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ และหอพัก มีรายรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนสูงที่สุดร้อยละ 22.9 รองลงมาคือ ธุรกิจการให้เช่าของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 และการบริการอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ส่วนกิจรรมนันทนาการ สำนักข่าว และการกีฬา มีรายรับลดลงจากไตรมาสก่อนร้อยละ 2.7
"ธุรกิจประเภทโรงแรม รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ และหอพัก ที่มียอดขายเพิ่มมากที่สุดนั้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่จึงทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่ม มากขึ้น ทำให้มีอัตราการพักแรมมากขึ้น ซึ่งกิจการทุกขนาดมีรายรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกิจการที่มีคนทำงาน 51-200 คน มีรายรับเพิ่มขึ้นสูงสุดถึงร้อยละ 27.6 ส่วนกิจการที่มีคนทำงานมากกว่า 200 คนขึ้นไป มีรายรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3 ส่วนรองกิจการที่มีคนทำงาน 26 - 30 คนมีรายรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 ส่วนกิจการขนาด 16-25 คน มีรายรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1"
สำหรับธุรกิจการให้เช่าของใช้ส่วนบุคคล และของใช้ในครัวเรือน ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่ากล้องและอุปกรณ์การถ่ายภาพ การให้เช่าวีดีโอ วีซีดี และดีวีดี การให้เช่าเครื่องแต่งกายที่ใช้ในงานพิธี การให้เช่าโต๊ะ เก้าอี้ เครื่องครัว และการให้เช่าหนังสือ เป็นต้น นั้น เป็นเพราะอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีผู้มาใช้บริการมากขึ้น ขณะเดียวกันลูกค้าต่างมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่ในส่วนของสถานประกอบการขนาดใหญ่กลับพบว่ามีรายได้ลดลง เนื่องจากมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น จึงมีลูกค้าลดลง
ส่วนธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารมี มูลค่ารายรับขยายตัวร้อยละ 3.4 โดยกิจการที่มีคนทำงาน 51 - 200 คน มีรายรับเพิ่มขึ้นสูงที่สุดร้อยละ 6.7 รองลงมาคือกิจการที่มีคนทำงาน 1 - 15 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่จึงทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค เพิ่มขึ้น
สำหรับยอดขายของธุรกิจค้าปลีกของกิจการ เกือบทุกขนาดมียอดขายเพิ่มขึ้นที่ ระดับร้อยละ 3 โดยเฉพาะกิจการที่มีคนทำงานไม่เกิน 25 คน ขณะที่กิจการที่มีคนทำงานเกิน 25 คนขึ้นไปมียอดขายลดลง โดยสินค้าขายปลีกประเภทเครื่องใช้สิ่งของและอุปกรณ์ในครัวเรือน มียอดขายลดลงร้อยละ 4.7 ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกที่มียอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ ขายปลีกสินค้าทั่วไป ห้างสรรพสินค้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 รองลงมา คือการขายปลีกเครื่องโลหะ สีทา และกระจก เพิ่มขึ้น ร้อยละ7.1 ขายปลีกสินค้าอื่น ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ขายปลีกของใช้แล้ว ขายโดยไม่มีร้านซ่อมแซมของใช้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ขายปลีกอาหาร เครื่องดื่ม หรือยาสูบ ในร้านเฉพาะอย่าง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ขายปลีกยา เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ขายปลีกอาหาร เครื่องดื่ม หรือยาสูบ เป็นสินค้าหลัก ดิสเคาน์สโตร์ ร้านสะดวกซื้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 และขายปลีกสิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องหนัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5
สำหรับกิจกรรมนันทนาการ สำนักข่าว และการกีฬา มีรายได้ลดลงในส่วนของกิจการที่มีคนทำงานไม่เกิน 30 คน โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่บอกว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลง รวมทั้งมีคู่แข่งมากขึ้นจึงทำให้ยอดขายลดลง โดยธุรกิจที่มีรายรับลดลงได้แก่ ฉายภาพยนตร์ วีดีโอ นันทนาการ ละคร ดนตรี ศิลปะ การกีฬา ผลิต ขาย ให้เช่ารายการวิทยุ โทรทัศน์ และผลิตและจำหน่ายภาพยนตร์ วีดีโอ ส่วนกิจการที่มีคนทำงาน 31 - 50 คน มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ส่วนกิจการที่มีคนทำงาน 51 - 200 คน มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ส่วนใหญ่ระบุว่าเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีผู้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งลูกค้ามีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น สำหรับธุรกิจการบริการอื่น ๆ ทั้ง บริการซักรีด ทำความสะอาด บริการเสริมสวย สถานเสริมความงาม กิจกรรมเกี่ยวกับการทำศพ และการบริการอื่น มีรายรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน
